จ้าง Influencer แล้วแคมเปญไม่ถึงเป้า ถึงเวลาพลิกเกมด้วย Data-Driven Influencer Marketing
ในวันที่ทุกแบรนด์ต่างทุ่มงบกับ Influencer Marketing ไม่ว่าจะเพื่อเปิดตัวสินค้า สร้างภาพลักษณ์ หรือเร่งยอดขาย คำถามสำคัญที่หลายคนยังไม่กล้าตอบคือ “ผลลัพธ์ที่ได้…คุ้มค่าแค่ไหน?”
เมื่อพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป ไม่เชื่อมั่นต่อโฆษณาที่ดูปรุงแต่งหรือพูดจากมุมของแบรนด์เพียงฝ่ายเดียวอีกต่อไป ความน่าเชื่อถือจึงไม่ได้มาจากโปรดักชันใหญ่ แต่กลับอยู่ที่ความเรียบง่าย จริงใจ และเข้าถึงได้
ภาพถ่ายจากชีวิตประจำวัน วิดีโอรีวิวสั้น ๆ ที่พูดตรงไปตรงมา หรือคลิปที่ดูไม่จัดฉากเกินไป กลับสร้างแรงกระเพื่อมทางอารมณ์ และสร้างการตัดสินใจซื้อได้มากกว่า
แม้เมื่อแบรนด์ส่วนใหญ่เริ่มหันมาใช้อินฟลูเอนเซอร์เหมือนกันหมด คำถามสำคัญคือ มันยังคุ้มอยู่ไหม?
และ อะไรที่ทำให้แคมเปญประเภทนี้ยังได้ผลดีอยู่
จากผลสำรวจพบว่า 89% ของนักการตลาด มองว่า ROI จาก Influencer Marketing นั้น “เทียบเท่าหรือดีกว่า” ช่องทางอื่น ๆ
ตัวเลขเหล่านี้ยืนยันว่าแม้การจ้างอินฟลูเอนเซอร์จะไม่ใช่สูตรลับใหม่ของวงการ แต่ยังเป็นกลยุทธ์ที่สร้างผลตอบแทนได้ดีหากทำอย่างถูกวิธี
แม้จะดูเหมือนใครก็ทำได้ แต่แคมเปญที่ได้ผลจริงกลับต้องมีองค์ประกอบที่ลงตัว โดยเฉพาะการเข้าใจว่า”คนดูอยากเห็นอะไร” และ “เชื่ออะไร”
1. ความเรียลและจริงใจ สำคัญกว่าความเป๊ะ
ผู้บริโภคยุคนี้ไม่เชื่อแคมเปญที่พูดจากฝั่งแบรนด์เพียงอย่างเดียว
พวกเขาอยากฟังจากคนที่ “ดูเหมือนตัวเอง” ใช้จริง พูดจริง ไม่ขายจ๋า
2. คอนเทนต์ที่เข้าถึงง่าย ไม่ประดิษฐ์เกินไป
วิดีโอรีวิวที่ถ่ายในบ้าน ภาพที่ดูเหมือน snap มา ไม่จัดฉาก หรือคลิปที่พูดแบบเป็นกันเอง กลับให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าคอนเทนต์โปรดักชันจัดเต็ม
3. เลือกคนให้ถูก ไม่ใช่แค่ “ดัง” แต่ต้อง “ตรง”
นี่คือจุดที่ Data เข้ามามีบทบาทสำคัญ เพราะแบรนด์ที่ใช้ข้อมูลช่วยวิเคราะห์ (เช่น พฤติกรรมผู้ติดตาม, ความสนใจ, ค่า Engagement จริง ฯลฯ) จะเลือกอินฟลูเอนเซอร์ได้แม่นยำกว่าและตรงกับกลุ่มเป้าหมายจริง
4. อินฟลูเอนเซอร์คือ “ผู้สร้างแรงบันดาลใจ” ไม่ใช่แค่ “พรีเซนเตอร์”
แคมเปญที่ดีจึงไม่ใช่แค่โชว์สินค้า แต่คือการ “เล่าเรื่อง” ให้คนดูรู้สึกว่า “ฉันก็อยากมีแบบนั้นบ้าง”
สิ่งเหล่านี้คือเหตุผลที่ Influencer Marketing เติบโตอย่างก้าวกระโดด จนมีมูลค่าราว 16.4 พันล้านดอลลาร์ในปี 2022 และยังคงขยายตัวต่อเนื่อง เพราะมันคือ “เครื่องมือการสื่อสาร” ที่คนยุคนี้เชื่อและเลือกเสพแต่ในวันที่ทุกแบรนด์ใช้สูตรเดียวกันในการแข่งขัน และสิ่งที่จะสร้างความต่างให้แคมเปญข ไม่ใช่แค่ “จำนวนเงินที่จ่าย” แต่คือ “ข้อมูล” ที่จะทำให้คุณเลือกอินฟลูเอนเซอร์ได้แม่นยำกว่าเดิม รู้ว่าใครควรพูดเรื่องอะไรและจะพูดอย่างไรให้คนดูอยากฟังและเชื่อถือ
Data-Driven Influencer Marketing คืออะไร?
Data-Driven Influencer Marketing ไม่ใช่แค่การเลือกคนดังบนโลกออนไลน์ แต่คือการใช้ข้อมูลเชิงลึก เพื่อสร้างกลยุทธ์ที่ตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคแบบมีเป้าหมาย
ในการตลาดอินฟลูเอนเซอร์ที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล แบรนด์ต่างๆ จะใช้การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อระบุ มีส่วนร่วม และประเมินอินฟลูเอนเซอร์ในแคมเปญการตลาดของตน วิธีนี้ใช้ตัวชี้วัดต่างๆ เช่น ข้อมูลประชากรของผู้ชม อัตราการมีส่วนร่วม และประสิทธิภาพของแคมเปญก่อนหน้า เพื่อเลือกอินฟลูเอนเซอร์ที่สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายและเป้าหมายของแบรนด์
การตลาดอินฟลูเอนเซอร์ในวันนี้ ไม่ใช่เพียงการเลือก “คนดัง” ที่มียอดผู้ติดตามสูงอีกต่อไป
แต่คือการเลือก “ผู้ที่ใช่” บนพื้นฐานของ ข้อมูลเชิงลึก (Data Insight) ที่สามารถเชื่อมโยงกับพฤติกรรมและความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างแม่นยำ
ทำไม Data ถึงเป็นขุมทรัพย์ของการปรับกลยุทธ์?
Influencer Marketing กำลังเข้าสู่จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ในปี 2025 ภายใต้แรงผลักดันจาก เทคโนโลยีที่ล้ำหน้า, พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป, และ ความรับผิดชอบที่มากขึ้น ต่อผลลัพธ์ทางธุรกิจ
- โซเชียลมีเดียได้ก้าวขึ้นมาเป็น ช่องทางโฆษณาที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยงบประมาณโฆษณารวมสูงถึง 266.92 พันล้านดอลลาร์ ตอกย้ำบทบาทของมันในการสร้างอิทธิพลและการมีส่วนร่วมจากผู้บริโภคอย่างแท้จริง
- แต่ในขณะเดียวกัน ความไม่แน่นอนทางการเมืองและเศรษฐกิจ เช่น ความเสี่ยงจากการแบน TikTok ในสหรัฐฯ ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับวงการ ส่งผลให้ “ความตั้งใจลงทุน” ลดลงถึง 17.2% สะท้อนถึงความจำเป็นที่แบรนด์ต้อง กระจายความเสี่ยงอย่างมีกลยุทธ์ ทำให้ความแม่นยำในการวางกลยุทธ์ต้องแม่นยำ เพื่อไม่ให้สูญเสียงบประมาณมหาศาล
รายงาน Influencer Marketing Benchmark 2025 จึงได้นำเสนอข้อมูลเชิงลึกและกลยุทธ์สำคัญใน 5 ด้านหลัก พร้อมชี้ให้เห็นว่า แบรนด์ในยุคใหม่นั้นต้อง “กล้าเปลี่ยนแปลง” และรู้จัก “ผสมผสานเทคโนโลยีเข้ากับความจริงใจจากมนุษย์” เพื่อสร้างผลลัพธ์ที่ยั่งยืนในตลาดที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
การตลาดอินฟลูฯ จึงไม่ใช่แค่การจ้างคนมีชื่อเสียง แต่คือการใช้ “ความน่าเชื่อถือ” เข้าถึงลูกค้า
ส่งต่อความเชื่อมั่นจนเกิดเป็นความไว้วางใจและยอมจ่ายเงินซื้อสินค้า แบรนด์ต่างๆ จะต้องนำแนวทางที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลมาใช้ พวกเขาต้องประเมินและใช้ข้อมูลประชากรของผู้ชม ตัวชี้วัดการมีส่วนร่วม และข้อมูลประสิทธิภาพของอินฟลูเอนเซอร์ เพื่อสร้างความพยายามทางการตลาดที่ตรงเป้าหมาย ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายของแคมเปญ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์จริง แบรนด์ต้องเลิกเลือกอินฟลูฯ จากแค่ยอดไลก์ แล้วหันมาใช้ ข้อมูลเชิงลึก เพื่อวางเป้าหมายของแบรนด์ เพราะมันทำให้แบรนด์สามารถมองเห็นมากกว่าภาพลักษณ์ภายนอก แต่ลึกไปถึงว่า
- ใครคือผู้ติดตามของอินฟลูเอนเซอร์คนนั้นจริงๆ?
- พวกเขาอายุเท่าไหร่?
- อยู่ในพื้นที่ใด?
- มีพฤติกรรมการเสพคอนเทนต์อย่างไร?
- และสำคัญที่สุด พวกเขา “มีแนวโน้มจะซื้อ” หรือไม่?
ด้วยเครื่องมือวิเคราะห์ที่ทันสมัย แบรนด์สามารถ:
- ประเมินอัตราการมีส่วนร่วม (Engagement Rate)
- วิเคราะห์ผลลัพธ์จากแคมเปญที่ผ่านมา
- คาดการณ์ ROI (ผลตอบแทนทางการตลาด) ได้อย่างแม่นยำ
ผลลัพธ์คือ การตัดสินใจที่ชาญฉลาดขึ้น ลงทุนอย่างคุ้มค่า และแคมเปญที่เข้าถึงใจกลุ่มเป้าหมายจริงๆ
ดังนั้น ข้อมูลจะทำให้กลยุทธ์ Influencer Marketing แข็งแกร่งขึ้นควรจะมองหา data ประเภทใด? มาดูกัน
4 ขั้นตอนใช้ “Data” สร้างแคมเปญอินฟลูฯ ที่ปังและวัดผลได้จริง
1. Segment ลูกค้าแม่นยำขึ้นด้วย Data
หยุดหว่านแคมเปญแบบหว่านแห ใช้ข้อมูลพฤติกรรมลูกค้า เช่น ประวัติการซื้อ, ระดับความสนใจ, ความถี่ในการมีส่วนร่วม เพื่อแบ่งกลุ่มลูกค้าอย่างแม่นยำ และเลือกอินฟลูเอนเซอร์ที่เหมาะสมกับแต่ละกลุ่มเป้าหมาย เช่น
- ลูกค้าใหม่: ใช้อินฟลูฯ สายรีวิวที่มีอิทธิพลและคนติดตามเชื่อถือ เพื่อสร้างความรู้จักและความน่าเชื่อถือในแบรนด์
- ลูกค้าที่ยังลังเล: เลือกอินฟลูฯ ที่มีความน่าเชื่อถือสูง หรือผู้เชี่ยวชาญในกลุ่มสินค้า เพื่อช่วยเสริมความมั่นใจและปิดการขายได้ดีขึ้น
ลูกค้าประจำ: อินฟลูฯ ที่เน้นสร้างความสัมพันธ์ต่อเนื่อง เช่น การรีวิวการใช้งานระยะยาว หรือแนะนำสินค้าใหม่ เพื่อกระตุ้นการซื้อซ้ำและเพิ่ม Lifetime Value
2. A/B Influencer Test และคอนเทนต์
ในโลกการตลาดยุคใหม่ที่การแข่งขันสูง การทำแคมเปญอินฟลูเอนเซอร์ไม่ควรเป็นเรื่องของการลองผิดลองถูกอีกต่อไป เพราะการใช้ A/B Testing หรือการทดสอบเปรียบเทียบ 2 ทางเลือกขึ้นไป คือกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้เราเข้าใจว่าอะไรเวิร์กจริง และปรับแผนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทำความเข้าใจแนวคิด A/B Testing ในแคมเปญอินฟลูเอนเซอร์
A/B Testing คือวิธีการเปรียบเทียบสองเวอร์ชันขึ้นไปของแคมเปญหรือองค์ประกอบต่าง ๆ เพื่อวัดว่าแบบไหนมีผลลัพธ์ดีกว่า โดยเราจะสร้างแคมเปญในรูปแบบที่แตกต่างกัน ส่งไปยังกลุ่มเป้าหมายที่สุ่มเลือก และวัดผลตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ เช่น จำนวนผู้เข้าถึง การมีส่วนร่วม หรือยอดขาย
ในบริบทของแคมเปญอินฟลูเอนเซอร์ เราสามารถนำ A/B Testing มาใช้เพื่อทดลองเปรียบเทียบหลาย ๆ ปัจจัย ได้แก่
- ประเภทของอินฟลูเอนเซอร์ (Macro vs Micro)
- รูปแบบคอนเทนต์ (วิดีโอ, รูปภาพ, สตอรี่ ฯลฯ)
- กลยุทธ์การสื่อสารและข้อความ
- วิธีการกระตุ้นให้เกิดการตอบสนอง (Call-to-Action)
- การจัดสรรงบประมาณ
การวิเคราะห์ผลลัพธ์จากการทดลองจะช่วยให้เราตัดสินใจด้วยข้อมูล และปรับแคมเปญให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
2. A/B Influencer Test และคอนเทนต์
ในโลกการตลาดยุคใหม่ที่การแข่งขันสูง การทำแคมเปญอินฟลูเอนเซอร์ไม่ควรเป็นเรื่องของการลองผิดลองถูกอีกต่อไป เพราะการใช้ A/B Testing หรือการทดสอบเปรียบเทียบ 2 ทางเลือกขึ้นไป คือกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้เราเข้าใจว่าอะไรเวิร์กจริง และปรับแผนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทำความเข้าใจแนวคิด A/B Testing ในแคมเปญอินฟลูเอนเซอร์
A/B Testing คือวิธีการเปรียบเทียบสองเวอร์ชันขึ้นไปของแคมเปญหรือองค์ประกอบต่าง ๆ เพื่อวัดว่าแบบไหนมีผลลัพธ์ดีกว่า โดยเราจะสร้างแคมเปญในรูปแบบที่แตกต่างกัน ส่งไปยังกลุ่มเป้าหมายที่สุ่มเลือก และวัดผลตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ เช่น จำนวนผู้เข้าถึง การมีส่วนร่วม หรือยอดขาย
ในบริบทของแคมเปญอินฟลูเอนเซอร์ เราสามารถนำ A/B Testing มาใช้เพื่อทดลองเปรียบเทียบหลาย ๆ ปัจจัย ได้แก่
- ประเภทของอินฟลูเอนเซอร์ (Macro vs Micro)
- รูปแบบคอนเทนต์ (วิดีโอ, รูปภาพ, สตอรี่ ฯลฯ)
- กลยุทธ์การสื่อสารและข้อความ
- วิธีการกระตุ้นให้เกิดการตอบสนอง (Call-to-Action)
- การจัดสรรงบประมาณ
การวิเคราะห์ผลลัพธ์จากการทดลองจะช่วยให้เราตัดสินใจด้วยข้อมูล และปรับแคมเปญให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
3. เชื่อมข้อมูลกับ Content Plan: เปลี่ยนข้อมูลให้เป็นกลยุทธ์ Content ที่ตอบโจทย์ธุรกิจ
เมื่อพูดถึง Data-Driven Influencer Marketing สิ่งสำคัญไม่ใช่แค่การเลือกอินฟลูเอนเซอร์ที่ “ใช่” เท่านั้น แต่ยังรวมถึงการนำข้อมูลมาใช้ในการวางแผนเนื้อหา (Content Plan) อย่างมีกลยุทธ์ด้วย เพื่อให้ทุกชิ้นงานสื่อสารตรงเป้าหมาย และให้ผลตอบแทนสูงที่สุดจากการลงทุน
ใช้ Data Insight กำหนดธีมและรูปแบบของเนื้อหา
ข้อมูลยอดขายและพฤติกรรมผู้บริโภคสามารถบอกเราได้มากกว่าที่คิด เช่น
- สินค้าขายดี: นำเสนอผ่านคอนเทนต์รูปแบบ “เปิดกล่อง รีวิว เปรียบเทียบ” ซึ่งช่วยเสริมความน่าเชื่อถือ และผลักดันการตัดสินใจซื้อ
- สินค้าใหม่: เหมาะกับแคมเปญที่เน้นการทดลองใช้จริง และแชร์ประสบการณ์จากผู้ใช้งาน เพื่อสร้างความเข้าใจและกระตุ้นความสนใจ
การจับคู่ข้อมูลเชิงพฤติกรรมกับประเภทของเนื้อหาที่ผู้บริโภคตอบสนองดี จะช่วยให้คอนเทนต์ของคุณมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นบนโซเชียลมีเดีย
ประเภทเนื้อหาที่ให้ ROI สูงสุดบนโซเชียลมีเดีย (5 อันดับแรก)
- เนื้อหาตลก (Funny content) – 27%
- เนื้อหาแบบโต้ตอบ (Interactive content) – 17%
- เนื้อหาที่สะท้อนคุณค่าของแบรนด์ – 15%
- เนื้อหาที่เข้าถึงง่าย/เข้าใจได้ (Relatable) – 11%
- เนื้อหาเชิงความรู้/ให้ข้อมูล – 10%
นักการตลาดควรเลือกประเภทเนื้อหาให้เหมาะกับจุดประสงค์ของแคมเปญ และลักษณะของกลุ่มเป้าหมาย เพื่อให้ได้ทั้งการมีส่วนร่วม และการจดจำแบรนด์ในระยะยาว
ใช้ข้อมูลเดิม เพื่อพัฒนากลยุทธ์ใหม่ ข้อมูลจากแคมเปญที่ผ่านมาเป็นแหล่งเรียนรู้ชั้นดี เช่น
- ช่วงเวลาไหนที่แคมเปญมีประสิทธิภาพสูงหรือต่ำ
- กลุ่มอายุใดตอบสนองต่อคอนเทนต์รูปแบบใด
- เทรนด์ที่เปลี่ยนไปในช่วงเทศกาล หรือสถานการณ์พิเศษ
เมื่อนำข้อมูลเหล่านี้มาวิเคราะห์เชิงลึก จะช่วยให้คุณออกแบบแคมเปญครั้งต่อไปได้แม่นยำยิ่งขึ้น ไม่ใช่แค่ในแง่ของคอนเทนต์ แต่รวมถึงการเลือกอินฟลูเอนเซอร์ การตั้ง KPI และการจัดการงบประมาณด้วย
อย่าลืมปรับปรุงการวิจัยผู้ชมอยู่เสมอ
ในโลกของโซเชียลมีเดียที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว การเข้าใจผู้ชมคือหัวใจของความสำเร็จ นักการตลาดควรอัปเดตข้อมูลพฤติกรรมผู้บริโภคอย่างสม่ำเสมอ เช่น
- การใช้ Social Listening เพื่อตรวจสอบว่าผู้คนพูดถึงแบรนด์อย่างไร
- ติดตามเทรนด์ของอินฟลูเอนเซอร์ที่เกี่ยวข้อง
- ประเมินความสำเร็จในระยะยาวของแคมเปญก่อนหน้า
ข้อมูลเหล่านี้ไม่เพียงช่วยปรับแต่งแผนงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ยังสามารถนำไปสู่การพัฒนา Marketing Automation และการวิเคราะห์ ROI ได้ในระยะยาว
4. ขยายฐานลูกค้าด้วย Lookalike Audience
การขยายฐานลูกค้า คือกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ Lookalike Audience คือเครื่องมือที่ทรงพลัง ช่วยให้คุณใช้ข้อมูลจากกลุ่มลูกค้าปัจจุบัน สร้างกลุ่มเป้าหมายใหม่ที่มีพฤติกรรมและลักษณะใกล้เคียงกัน เพื่อยิงแคมเปญที่มีโอกาสปิดการขายได้สูงขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับหลายแบรนด์ที่กำลังมองหาวิธีแก้เกมการตลาด การวางกลยุทธ์ด้วยข้อมูลคือกุญแจสำคัญของแคมเปญที่คุ้มค่าและได้ผลจริง
เลือกอินฟลูเอนเซอร์ให้ถูกคน ไม่ใช่แค่คนที่ดังคอนเทนต์จะดีแค่ไหนก็ไม่มีความหมาย ถ้าคนพูดไม่ใช่คนที่กลุ่มเป้าหมายเชื่อ
หนึ่งในข้อผิดพลาดที่หลายแบรนด์เผชิญ คือเลือกอินฟลูเอนเซอร์จากแค่ยอดฟอลโลเวอร์ หรือชื่อเสียง โดยไม่ได้ดูว่าเขาสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายของแบรนด์ได้จริงหรือไม่
การใช้ข้อมูลจะช่วยให้เราวิเคราะห์:
- ใครคือคนที่ “มีอิทธิพล” จริงกับกลุ่มลูกค้า
- กลุ่มเป้าหมายของอินฟลูเอนเซอร์อยู่ในช่วงอายุ เพศ หรือภูมิศาสตร์ที่ตรงกับสินค้าไหม
- คอนเทนต์แบบไหนที่ “เปลี่ยนใจผู้ชม” ให้ซื้อของได้จริง
การเปลี่ยนไปสู่การตลาดอินฟลูเอนเซอร์ที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้ประสบความสำเร็จในภูมิทัศน์ที่มีการแข่งขันสูง ด้วยการใช้การวิเคราะห์ข้อมูลสำหรับการเลือกอินฟลูเอนเซอร์และการเพิ่มประสิทธิภาพแคมเปญ แบรนด์ต่างๆ สามารถมั่นใจได้ถึงความสอดคล้องเชิงกลยุทธ์ที่มากขึ้นกับความชอบและพฤติกรรมของผู้ชม
เริ่มแคมเปญแล้วแต่ยอดขายยังไม่ถึงเป้า อย่าปล่อยให้งบโฆษณาหายไปเปล่าๆ
ถึงเวลายกระดับกลยุทธ์ด้วย Data Driven Influencer Marketing กับ Kollective
สอบถามโดยตรงได้ที่ 090-293-8951 (คุณกอล์ฟ ฝ่ายการตลาด)
Facebook: Kollective – Integrated Influencer Marketing Optimizer
Line: @kollective.th
Website: https://kollective.one
Email: [email protected]