จ้าง Influencer แล้วแคมเปญไม่ถึงเป้า ถึงเวลาพลิกเกมด้วย Data-Driven Influencer Marketing

influencer marketing ecosystem
roi compared between influencer marketing and other strategy
จากผลสำรวจพบว่า 89% ของนักการตลาด มองว่า ROI จาก Influencer Marketing นั้น “เทียบเท่าหรือดีกว่า” ช่องทางอื่น ๆ

Data-Driven Influencer Marketing คืออะไร?

ทำไม Data ถึงเป็นขุมทรัพย์ของการปรับกลยุทธ์?

Influencer Marketing กำลังเข้าสู่จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ในปี 2025 ภายใต้แรงผลักดันจาก เทคโนโลยีที่ล้ำหน้า, พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป, และ ความรับผิดชอบที่มากขึ้น ต่อผลลัพธ์ทางธุรกิจ

  • โซเชียลมีเดียได้ก้าวขึ้นมาเป็น ช่องทางโฆษณาที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยงบประมาณโฆษณารวมสูงถึง 266.92 พันล้านดอลลาร์ ตอกย้ำบทบาทของมันในการสร้างอิทธิพลและการมีส่วนร่วมจากผู้บริโภคอย่างแท้จริง
  • แต่ในขณะเดียวกัน ความไม่แน่นอนทางการเมืองและเศรษฐกิจ เช่น ความเสี่ยงจากการแบน TikTok ในสหรัฐฯ ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับวงการ ส่งผลให้ “ความตั้งใจลงทุน” ลดลงถึง 17.2% สะท้อนถึงความจำเป็นที่แบรนด์ต้อง กระจายความเสี่ยงอย่างมีกลยุทธ์ ทำให้ความแม่นยำในการวางกลยุทธ์ต้องแม่นยำ เพื่อไม่ให้สูญเสียงบประมาณมหาศาล

รายงาน Influencer Marketing Benchmark 2025 จึงได้นำเสนอข้อมูลเชิงลึกและกลยุทธ์สำคัญใน 5 ด้านหลัก พร้อมชี้ให้เห็นว่า แบรนด์ในยุคใหม่นั้นต้อง “กล้าเปลี่ยนแปลง” และรู้จัก “ผสมผสานเทคโนโลยีเข้ากับความจริงใจจากมนุษย์” เพื่อสร้างผลลัพธ์ที่ยั่งยืนในตลาดที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

การตลาดอินฟลูฯ จึงไม่ใช่แค่การจ้างคนมีชื่อเสียง แต่คือการใช้ “ความน่าเชื่อถือ” เข้าถึงลูกค้า 

ส่งต่อความเชื่อมั่นจนเกิดเป็นความไว้วางใจและยอมจ่ายเงินซื้อสินค้า แบรนด์ต่างๆ จะต้องนำแนวทางที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลมาใช้ พวกเขาต้องประเมินและใช้ข้อมูลประชากรของผู้ชม ตัวชี้วัดการมีส่วนร่วม และข้อมูลประสิทธิภาพของอินฟลูเอนเซอร์ เพื่อสร้างความพยายามทางการตลาดที่ตรงเป้าหมาย ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายของแคมเปญ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์จริง แบรนด์ต้องเลิกเลือกอินฟลูฯ จากแค่ยอดไลก์ แล้วหันมาใช้ ข้อมูลเชิงลึก เพื่อวางเป้าหมายของแบรนด์ เพราะมันทำให้แบรนด์สามารถมองเห็นมากกว่าภาพลักษณ์ภายนอก แต่ลึกไปถึงว่า

  • ใครคือผู้ติดตามของอินฟลูเอนเซอร์คนนั้นจริงๆ?
  • พวกเขาอายุเท่าไหร่?
  • อยู่ในพื้นที่ใด?
  • มีพฤติกรรมการเสพคอนเทนต์อย่างไร?
  • และสำคัญที่สุด พวกเขา “มีแนวโน้มจะซื้อ” หรือไม่?

ด้วยเครื่องมือวิเคราะห์ที่ทันสมัย แบรนด์สามารถ:

  • ประเมินอัตราการมีส่วนร่วม (Engagement Rate)
  • วิเคราะห์ผลลัพธ์จากแคมเปญที่ผ่านมา
  • คาดการณ์ ROI (ผลตอบแทนทางการตลาด) ได้อย่างแม่นยำ

ผลลัพธ์คือ การตัดสินใจที่ชาญฉลาดขึ้น ลงทุนอย่างคุ้มค่า และแคมเปญที่เข้าถึงใจกลุ่มเป้าหมายจริงๆ
ดังนั้น ข้อมูลจะทำให้กลยุทธ์ Influencer Marketing แข็งแกร่งขึ้นควรจะมองหา data ประเภทใด? มาดูกัน

4 ขั้นตอนใช้ “Data” สร้างแคมเปญอินฟลูฯ ที่ปังและวัดผลได้จริง

1. Segment ลูกค้าแม่นยำขึ้นด้วย Data

หยุดหว่านแคมเปญแบบหว่านแห ใช้ข้อมูลพฤติกรรมลูกค้า เช่น ประวัติการซื้อ, ระดับความสนใจ, ความถี่ในการมีส่วนร่วม เพื่อแบ่งกลุ่มลูกค้าอย่างแม่นยำ และเลือกอินฟลูเอนเซอร์ที่เหมาะสมกับแต่ละกลุ่มเป้าหมาย เช่น

  • ลูกค้าใหม่: ใช้อินฟลูฯ สายรีวิวที่มีอิทธิพลและคนติดตามเชื่อถือ เพื่อสร้างความรู้จักและความน่าเชื่อถือในแบรนด์
  • ลูกค้าที่ยังลังเล: เลือกอินฟลูฯ ที่มีความน่าเชื่อถือสูง หรือผู้เชี่ยวชาญในกลุ่มสินค้า เพื่อช่วยเสริมความมั่นใจและปิดการขายได้ดีขึ้น

ลูกค้าประจำ: อินฟลูฯ ที่เน้นสร้างความสัมพันธ์ต่อเนื่อง เช่น การรีวิวการใช้งานระยะยาว หรือแนะนำสินค้าใหม่ เพื่อกระตุ้นการซื้อซ้ำและเพิ่ม Lifetime Value

2. A/B  Influencer  Test และคอนเทนต์

ในโลกการตลาดยุคใหม่ที่การแข่งขันสูง การทำแคมเปญอินฟลูเอนเซอร์ไม่ควรเป็นเรื่องของการลองผิดลองถูกอีกต่อไป เพราะการใช้ A/B Testing หรือการทดสอบเปรียบเทียบ 2 ทางเลือกขึ้นไป คือกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้เราเข้าใจว่าอะไรเวิร์กจริง และปรับแผนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ทำความเข้าใจแนวคิด A/B Testing ในแคมเปญอินฟลูเอนเซอร์

A/B Testing คือวิธีการเปรียบเทียบสองเวอร์ชันขึ้นไปของแคมเปญหรือองค์ประกอบต่าง ๆ เพื่อวัดว่าแบบไหนมีผลลัพธ์ดีกว่า โดยเราจะสร้างแคมเปญในรูปแบบที่แตกต่างกัน ส่งไปยังกลุ่มเป้าหมายที่สุ่มเลือก และวัดผลตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ เช่น จำนวนผู้เข้าถึง การมีส่วนร่วม หรือยอดขาย

ในบริบทของแคมเปญอินฟลูเอนเซอร์ เราสามารถนำ A/B Testing มาใช้เพื่อทดลองเปรียบเทียบหลาย ๆ ปัจจัย ได้แก่

  • ประเภทของอินฟลูเอนเซอร์ (Macro vs Micro)
  • รูปแบบคอนเทนต์ (วิดีโอ, รูปภาพ, สตอรี่ ฯลฯ)
  • กลยุทธ์การสื่อสารและข้อความ
  • วิธีการกระตุ้นให้เกิดการตอบสนอง (Call-to-Action)
  • การจัดสรรงบประมาณ

การวิเคราะห์ผลลัพธ์จากการทดลองจะช่วยให้เราตัดสินใจด้วยข้อมูล และปรับแคมเปญให้มีประสิทธิภาพสูงสุด

2. A/B  Influencer  Test และคอนเทนต์

ในโลกการตลาดยุคใหม่ที่การแข่งขันสูง การทำแคมเปญอินฟลูเอนเซอร์ไม่ควรเป็นเรื่องของการลองผิดลองถูกอีกต่อไป เพราะการใช้ A/B Testing หรือการทดสอบเปรียบเทียบ 2 ทางเลือกขึ้นไป คือกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้เราเข้าใจว่าอะไรเวิร์กจริง และปรับแผนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ทำความเข้าใจแนวคิด A/B Testing ในแคมเปญอินฟลูเอนเซอร์

A/B Testing คือวิธีการเปรียบเทียบสองเวอร์ชันขึ้นไปของแคมเปญหรือองค์ประกอบต่าง ๆ เพื่อวัดว่าแบบไหนมีผลลัพธ์ดีกว่า โดยเราจะสร้างแคมเปญในรูปแบบที่แตกต่างกัน ส่งไปยังกลุ่มเป้าหมายที่สุ่มเลือก และวัดผลตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ เช่น จำนวนผู้เข้าถึง การมีส่วนร่วม หรือยอดขาย

ในบริบทของแคมเปญอินฟลูเอนเซอร์ เราสามารถนำ A/B Testing มาใช้เพื่อทดลองเปรียบเทียบหลาย ๆ ปัจจัย ได้แก่

  • ประเภทของอินฟลูเอนเซอร์ (Macro vs Micro)
  • รูปแบบคอนเทนต์ (วิดีโอ, รูปภาพ, สตอรี่ ฯลฯ)
  • กลยุทธ์การสื่อสารและข้อความ
  • วิธีการกระตุ้นให้เกิดการตอบสนอง (Call-to-Action)
  • การจัดสรรงบประมาณ

การวิเคราะห์ผลลัพธ์จากการทดลองจะช่วยให้เราตัดสินใจด้วยข้อมูล และปรับแคมเปญให้มีประสิทธิภาพสูงสุด

3. เชื่อมข้อมูลกับ Content Plan: เปลี่ยนข้อมูลให้เป็นกลยุทธ์ Content ที่ตอบโจทย์ธุรกิจ

เมื่อพูดถึง Data-Driven Influencer Marketing สิ่งสำคัญไม่ใช่แค่การเลือกอินฟลูเอนเซอร์ที่ “ใช่” เท่านั้น แต่ยังรวมถึงการนำข้อมูลมาใช้ในการวางแผนเนื้อหา (Content Plan) อย่างมีกลยุทธ์ด้วย เพื่อให้ทุกชิ้นงานสื่อสารตรงเป้าหมาย และให้ผลตอบแทนสูงที่สุดจากการลงทุน

ใช้ Data Insight กำหนดธีมและรูปแบบของเนื้อหา

ข้อมูลยอดขายและพฤติกรรมผู้บริโภคสามารถบอกเราได้มากกว่าที่คิด เช่น

  • สินค้าขายดี: นำเสนอผ่านคอนเทนต์รูปแบบ “เปิดกล่อง รีวิว เปรียบเทียบ” ซึ่งช่วยเสริมความน่าเชื่อถือ และผลักดันการตัดสินใจซื้อ
  • สินค้าใหม่: เหมาะกับแคมเปญที่เน้นการทดลองใช้จริง และแชร์ประสบการณ์จากผู้ใช้งาน เพื่อสร้างความเข้าใจและกระตุ้นความสนใจ

การจับคู่ข้อมูลเชิงพฤติกรรมกับประเภทของเนื้อหาที่ผู้บริโภคตอบสนองดี จะช่วยให้คอนเทนต์ของคุณมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นบนโซเชียลมีเดีย

ประเภทเนื้อหาที่ให้ ROI สูงสุดบนโซเชียลมีเดีย (5 อันดับแรก)

  1. เนื้อหาตลก (Funny content) – 27%
  2. เนื้อหาแบบโต้ตอบ (Interactive content) – 17%
  3. เนื้อหาที่สะท้อนคุณค่าของแบรนด์ – 15%
  4. เนื้อหาที่เข้าถึงง่าย/เข้าใจได้ (Relatable) – 11%
  5. เนื้อหาเชิงความรู้/ให้ข้อมูล – 10%

นักการตลาดควรเลือกประเภทเนื้อหาให้เหมาะกับจุดประสงค์ของแคมเปญ และลักษณะของกลุ่มเป้าหมาย เพื่อให้ได้ทั้งการมีส่วนร่วม และการจดจำแบรนด์ในระยะยาว

ใช้ข้อมูลเดิม เพื่อพัฒนากลยุทธ์ใหม่ ข้อมูลจากแคมเปญที่ผ่านมาเป็นแหล่งเรียนรู้ชั้นดี เช่น

  • ช่วงเวลาไหนที่แคมเปญมีประสิทธิภาพสูงหรือต่ำ
  • กลุ่มอายุใดตอบสนองต่อคอนเทนต์รูปแบบใด
  • เทรนด์ที่เปลี่ยนไปในช่วงเทศกาล หรือสถานการณ์พิเศษ

เมื่อนำข้อมูลเหล่านี้มาวิเคราะห์เชิงลึก จะช่วยให้คุณออกแบบแคมเปญครั้งต่อไปได้แม่นยำยิ่งขึ้น ไม่ใช่แค่ในแง่ของคอนเทนต์ แต่รวมถึงการเลือกอินฟลูเอนเซอร์ การตั้ง KPI และการจัดการงบประมาณด้วย

อย่าลืมปรับปรุงการวิจัยผู้ชมอยู่เสมอ

ในโลกของโซเชียลมีเดียที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว การเข้าใจผู้ชมคือหัวใจของความสำเร็จ นักการตลาดควรอัปเดตข้อมูลพฤติกรรมผู้บริโภคอย่างสม่ำเสมอ เช่น

  • การใช้ Social Listening เพื่อตรวจสอบว่าผู้คนพูดถึงแบรนด์อย่างไร
  • ติดตามเทรนด์ของอินฟลูเอนเซอร์ที่เกี่ยวข้อง
  • ประเมินความสำเร็จในระยะยาวของแคมเปญก่อนหน้า

ข้อมูลเหล่านี้ไม่เพียงช่วยปรับแต่งแผนงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ยังสามารถนำไปสู่การพัฒนา Marketing Automation และการวิเคราะห์ ROI ได้ในระยะยาว

4. ขยายฐานลูกค้าด้วย Lookalike Audience

การขยายฐานลูกค้า คือกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ Lookalike Audience คือเครื่องมือที่ทรงพลัง ช่วยให้คุณใช้ข้อมูลจากกลุ่มลูกค้าปัจจุบัน สร้างกลุ่มเป้าหมายใหม่ที่มีพฤติกรรมและลักษณะใกล้เคียงกัน เพื่อยิงแคมเปญที่มีโอกาสปิดการขายได้สูงขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ

สำหรับหลายแบรนด์ที่กำลังมองหาวิธีแก้เกมการตลาด การวางกลยุทธ์ด้วยข้อมูลคือกุญแจสำคัญของแคมเปญที่คุ้มค่าและได้ผลจริง

เลือกอินฟลูเอนเซอร์ให้ถูกคน ไม่ใช่แค่คนที่ดังคอนเทนต์จะดีแค่ไหนก็ไม่มีความหมาย ถ้าคนพูดไม่ใช่คนที่กลุ่มเป้าหมายเชื่อ

หนึ่งในข้อผิดพลาดที่หลายแบรนด์เผชิญ คือเลือกอินฟลูเอนเซอร์จากแค่ยอดฟอลโลเวอร์ หรือชื่อเสียง โดยไม่ได้ดูว่าเขาสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายของแบรนด์ได้จริงหรือไม่

การใช้ข้อมูลจะช่วยให้เราวิเคราะห์:

  • ใครคือคนที่ “มีอิทธิพล” จริงกับกลุ่มลูกค้า
  • กลุ่มเป้าหมายของอินฟลูเอนเซอร์อยู่ในช่วงอายุ เพศ หรือภูมิศาสตร์ที่ตรงกับสินค้าไหม
  • คอนเทนต์แบบไหนที่ “เปลี่ยนใจผู้ชม” ให้ซื้อของได้จริง

การเปลี่ยนไปสู่การตลาดอินฟลูเอนเซอร์ที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้ประสบความสำเร็จในภูมิทัศน์ที่มีการแข่งขันสูง ด้วยการใช้การวิเคราะห์ข้อมูลสำหรับการเลือกอินฟลูเอนเซอร์และการเพิ่มประสิทธิภาพแคมเปญ แบรนด์ต่างๆ สามารถมั่นใจได้ถึงความสอดคล้องเชิงกลยุทธ์ที่มากขึ้นกับความชอบและพฤติกรรมของผู้ชม


เริ่มแคมเปญแล้วแต่ยอดขายยังไม่ถึงเป้า อย่าปล่อยให้งบโฆษณาหายไปเปล่าๆ
ถึงเวลายกระดับกลยุทธ์ด้วย Data Driven Influencer Marketing กับ Kollective

สอบถามโดยตรงได้ที่  090-293-8951 (คุณกอล์ฟ ฝ่ายการตลาด)
Facebook: Kollective – Integrated Influencer Marketing Optimizer
Line: @kollective.th
Website: https://kollective.one
Email: [email protected]

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *