แฉเบื้องหลัง! เรทการ์ด Influencer ทำแคมเปญ 1 ครั้งต้องจ่ายเท่าไหร่
เคยสงสัยกันหรือไม่ เรทการ์ด Influencer คืออะไร แล้วราคาจ้าง Influencer ในการทำแคมเปญโปรโมทสินค้าแต่ละครั้งต้องใช้เท่าไหร่ หลาย ๆ แบรนด์ที่ยังไม่เคยทำและกำลังสนใจที่อยากจะลองทำ Influencer marketing บ้าง แต่ยังไม่มั่นใจว่าจะต้องเริ่มต้นอย่างไร หรือควรจะวางงบประมาณเท่าไหร่ ต้องอ่านบทความนี้
วันนี้ Kollective ขอไขข้องสงสัยว่า ในการทำแคมเปญ Influencer แต่ละครั้ง มีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง แล้วอะไรคือเกณฑ์การตั้งราคาของเหล่า Influencer กันแน่ ถ้าพร้อมแล้ว มาหาคำตอบกันได้เลย
เรทการ์ดคืออะไร
แน่นอนว่า Influencer แต่ละคนต่างมีเรทราคาจ้างรีวิวสินค้าหรือที่หลาย ๆ คนเรียกว่า Rate Card แตกต่างกันออกไป โดยในนั้นจะระบุข้อมูลเกี่ยวกับราคาของคอนเทนต์แต่ละรูปแบบ แต่ละช่องทาง สำหรับให้แบรนด์ตัดสินใจว่าต้องการจ้าง Influencer ให้ลงรีวิวสินค้าอย่างไร
พออ่านมาถึงตรงนี้แล้ว หลายคนก็น่าจะเกิดคำถามว่า แล้วเรทราคา Influencer ที่ตั้งกันขึ้นมามีที่มายังไง และใช้เกณฑ์อะไรในการตั้งราคา
จำนวนผู้ติดตาม
โดยส่วนใหญ่แล้วตัว Rate card จะอิงจากจำนวนผู้ติดตามของ Influencer นั้น ๆ ยิ่งผู้ติดตามเยอะ ราคาก็มักจะสูงขึ้นตามยอดผู้ติดตามไปด้วย เนื่องจากมีศักยภาพในการสร้างการมองเห็นไปสู่กลุ่มเป้าหมายได้มากกว่า Influencer ที่มียอดผู้ติดตามจำนวนน้อยกว่า เช่น การจ้าง Macro Influencer ที่มียอดผู้ติดตาม 500,000 – 1 ล้านคน 500K – 1M คน ย่อมมีราคารีวิวสินค้ามากกว่า Micro Influencers ที่สามารถเข้าถึงผู้ติดตามเพียง 10,000 – 50,000 คน เป็นต้น
Engagement Rate
แน่นอนว่า Influencer ที่มีผู้ติดตามเยอะ และยอด Engagement rate อยู่ในระดับที่สูง ก็มักจะมีราคาสูงตามไปด้วย ซึ่งตัว Engagement rate คือตัวเลขเปอร์เซ็นต์ที่บ่งบอกให้รู้ว่าคนที่ติดตาม Influencer มีอัตราการมีส่วนร่วมกับ Influencer มากน้อยแค่ไหน โดยคำนวณจาก Engagement และ Impression ซึ่ง Engagement ในที่นี้ หมายถึงทั้งจำนวน Like, Share, Comment, Link click รวมถึง Save ยิ่งถ้า Engagement rate มีเปอร์เซ็นต์มากเท่าไหร่ ยิ่งแสดงให้เห็นว่าคอนเทนต์ของ Influencer มีคุณภาพในการเข้าถึงและดึงดูดความสนใจไปยังกลุ่มเป้าหมายได้ดีมากเท่านั้น
สโคปและความยากของงาน
ความยากของคอนเทนต์แก็มีส่วนในการคิดราคารีวิวสินค้าด้วยเช่นกัน เพราะคอนเทนต์ที่มีสโคปงานที่ยากและซับซ้อนกว่า ก็จะส่งผลให้ค่าใช้จ่ายสูงตามไปด้วย ยกตัวอย่าง คอนเทนต์รีวิวประเภทที่เป็นวิดีโอ มักจะมีราคาแพงกว่าการโพสต์รูปภาพแบบธรรมดา เพราะนอกจากการถ่ายวิดีโอแล้ว Influencer ยังต้องตัดต่อ หาเพลงประกอบ ใส่ภาพประกอบ เรียบเรียงเนื้อหาวิดีโอทั้งหมด ซึ่งใช้ระยะเวลาและความสามารถ เพื่อให้ออกมาเป็นคอนเทนต์ที่ดีที่สุด
นอกจากนี้สโคปในการทำงาน หรือบรีฟงาน ข้อกำหนดและข้อห้ามต่าง ๆ ก็มีผลกับค่าใช้จ่ายเช่นกัน ยกตัวอย่าง แคมเปญที่มีความเร่งด่วน แคมเปญที่ต้องการให้ Influencer ไปที่หน้าร้านตามสถานที่ ตามระยะเวลาที่กำหนด หรือข้อกำหนดและข้อห้ามเพิ่มเติม เช่น การกำหนดสีของเสื้อผ้า สีผมของ Influencer ร่วมถึงท่าทางการถือสินค้า ลักษณะการรีวิว รวมถึงรายละเอียดฉากที่กำหนด ล้วนแต่มีค่าใช้จ่ายเพื่อสนับสนุนให้ Influencer สามารถสร้างสรรค์ผลงานออกมาให้ตรงตามความต้องการของแบรนด์มากที่สุด
แพลตฟอร์มที่ลงคอนเทนต์
ช่องทาง Social media หรือแพลตฟอร์มที่ใช้ในการลงโพสต์รีวิวก็มีผลต่อราคาเช่นกัน โดยเฉพาะในปัจจุบันที่ Influencer หนึ่งคนอาจมี Social media หลายแพลตฟอร์ม และแต่ละแพลตฟอร์มก็มียอดผู้ติดตาม มียอด Engagement rate หรือ Social performance ที่มากน้อยแตกต่างกัน อีกทั้งปัจจัยอื่น ๆ เช่น รูปแบบคอนเทนต์ที่จำกัดของแต่ละแพลตฟอร์ม หรือตัวอัลกอริทึมของแต่ละแพลตฟอร์มที่ต่างกัน ก็ย่อมมีผลในการทำให้ราคาของแต่ละช่องทางไม่เท่ากัน
ประเภทของสินค้า
ความรู้และความเข้าใจของ Influencer เกี่ยวกับสินค้าแต่ละประเภท ก็มีส่วนในเรื่องของราคา เพราะการเลือกจ้าง Influencer ที่มีความสนใจหรือความเข้าใจในสินค้าที่กำลังนำเสนอ ย่อมเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่แบรนด์ต้องการได้ และสื่อสารถึงรายละเอียดของสินค้าได้ดีที่สุด ยกตัวอย่างเช่น การโปรโมทสินค้าที่เป็นอาหาร การเลือก Influencer สายกิน ที่ชอบลิ้มลองเมนูอาหารใหม่ ๆ และเชี่ยวชาญในการถ่ายภาพอาหารให้ดูน่ากิน ก็มักจะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ง่ายกว่า
แต่พอเป็นสินค้าที่มีราคาสูงและจำเป็นต้องอาศัยความเชี่ยวชาญ เช่น สินค้ากลุ่ม High Involvement อย่าง การลงทุน คอนโด บ้าน อุปกรณ์ไอทีต่าง ๆ รวมถึงสินค้า Luxury ต่าง ๆ การเลือก Influencer ที่มีความเข้าใจในตัวสินค้าเป็นอย่างดี ก็จะสามารถนำเสนอรายละเอียดของสินค้าไปยังกลุ่มเป้าหมายได้ตรงจุด ซึ่งส่วนใหญ่การรีวิวสินค้าประเภทนี้ ทาง Influencer อาจต้องทำการศึกษาข้อมูลของสินค้า และใช้เวลาทำความเข้าใจมากกว่า ทำให้มีราคาที่สูงตามความเฉพาะทาง
นอกจากเรทราคา Influencer แต่ละคนแล้ว ต้องจ่ายค่าอะไรบ้าง
อย่าเพิ่งคิดว่าการจ้าง Influencer ในการรีวิวสินค้า ค่าใช้จ่ายจะหยุดอยู่แค่ค่าตัว Influencer เท่านั้น เพราะในการโปรโมทสินค้าแต่ละครั้ง ยังมีค่าใช้จ่ายในส่วนอื่น ๆ อีก เพื่อให้แคมเปญมีประสิทธิภาพสูงที่สุด ได้แก่
ค่าโฆษณา
การใช้โฆษณาหรือ Social media ads เข้ามาเสริม เป็นหนึ่งกลยุทธ์สำคัญสำหรับแบรนด์ที่ต้องการให้แคมเปญ Influencer เกิดผลลัพธ์มากที่สุด เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ และกระตุ้นยอดขายได้จริง เพราะนอกเหนือจากคอนเทนต์รีวิวคุณภาพจะสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่เป็นผู้ติดตาม Influencer ได้แล้ว ยังสามารถใช้เป็นคอนเทนต์ในการยิงโฆษณาเพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ไม่ได้ติดตาม Influencer ได้ด้วย แต่มีความสนใจเดียวกัน ให้รู้จักสินค้ามากขึ้นด้วย ยิ่งได้เห็นโพสต์บ่อย ๆ ก็เป็นการสร้าง Brand awareness ได้ดี ทำให้คนจดจำแบรนด์ได้ และนำไปสู่การสร้างยอดขายให้กับตัวสินค้าในที่สุด
นอกจากค่าโฆษณาที่ใช้จริงแล้ว ก็ยังมีค่าใช้จ่ายในการเข้าถึง Ads Account ของ Influencer หรือที่หลายคนเรียกว่า การทำ Branded หรือ Sponsered กับโพสต์ของ Influencer ที่เราจ้างมา ซึ่งสำหรับมาก สำหรับแบรนด์ที่ต้องการทำโฆษณา Retargeting ด้วยช่องทางการสั่งซื้อสินค้า ไปยังกลุ่มผู้ติดตามหรือคนที่มี Engagement ร่วมกับคอนเทนต์ของ Influencer ได้
ค่าลิขสิทธิ์รูปภาพ
สำหรับแบรนด์ที่มองถึงการนำคอนเทนต์ของ Influencer มางานใช้ต่ออย่างคุ้มค่า อย่างลงเป็นโพสต์ในช่องทางของแบรนด์ ใช้เป็นภาพประกอบในการยิงโฆษณา หรือใช้เป็นภาพประกอบในเว็บไซต์ หรือช่องทางอื่น ๆ ก็ตาม จำเป็นที่จะต้องตกลงถึงลิขสิทธิ์การใช้รูปภาพของ Influencer ด้วย เพราะถึงทางแบรนด์จะจ้าง Influencer ในการทำคอนเทนต์ แต่คอนเทนต์ที่ได้จาก Influencer ก็ยังถือว่าเป็นลิขสิทธิ์ของ Influencer โดยควรที่จะตกลงขอบเขตการใช้ภาพให้เรียบร้อยก่อน ตั้งแต่การเซ็นสัญญา ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายหรือไม่ อยู่ที่การตกลงร่วมกันของทั้งฝั่งแบรนด์และ Influencer
ค่าส่งของ/ ค่าเดินทาง
นอกจากนี้ ในการรีวิวสินค้าที่ยังไม่ได้ออกจำหน่ายจำเป็นจะต้องมีการส่งสินค้าไปให้ Influencer ซึ่งก็จะต้องมีค่าใช้จ่ายในเรื่องของการขนส่งสินค้าด้วย หรือหากแบรนด์ต้องการให้ Influencer เดินทางไปรีวิวตามสถานที่ต่าง ๆ เช่น หน้าร้านของแบรนด์ งานอีเวนต์ที่จัดตามสถานที่ต่าง ๆ ก็ต้องมีค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ให้กับ Influencer ด้วย
ค่าดำเนินงาน
จริงอยู่ที่ในการทำแคมเปญ Influencer marketing แบรนด์สามารถติดต่อและจ้าง Influencer ได้ด้วยตัวเอง แต่ก็จะต้องเสียเวลาในการตามหา Influencer ที่ต้องการ ต้องรับมือกับปัญหาต่าง ๆ ในการจัดการแคมเปญ หรือปัญหาตั้งแต่การวางแผน ที่อาจจะขาดความเชี่ยวชาญหรือเครื่องมือที่จะมาช่วย ซึ่งอาจทำให้แคมเปญไม่ประสบความสำเร็จตามต้องการ
ดังนั้นหลาย ๆ แบรนด์จึงเลือกที่จะหาคนมาดูแลในส่วนนี้โดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นการจ้างพนักงานประจำสำหรับแบรนด์ที่มีการจ้าง Influencer อยู่เรื่อย ๆ ทั้งปี หรือการจ้าง Influencer Marketing Agency ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านนี้โดยเฉพาะ เพื่อให้ดูแลตั้งแต่การวางแผน การเลือก Influencer ไปจนถึงการติดต่อจัดการให้จนจบแคมเปญ ซึ่งบาง Agency สามารถการันตีผลลัพธ์ให้ได้ด้วย
จากรายละเอียดค่าใช้จ่ายที่ได้ยกมาให้ดูกัน จะเห็นได้ว่าการจ้าง Influencer แต่ละครั้งนั้น ไม่ได้มีงบประมาณที่ตายตัว โดยราคาในการทำแคมเปญแต่ละครั้งจะขึ้นอยู่กับลักษณะและจำนวน Influencer ที่เลือกใช้ รวมถึงสโคปของงานที่ต้องการ ยิ่งแคมเปญไหนมีการเลือกใช้ Influencer ที่มีค่าตัวสูง และมีจำนวนหลายคน ก็จะยิ่งทำให้งบประมาณที่ใช้ในแคมเปญ ๆ นั้นสูงขึ้นตามไปด้วย
การมีผู้ช่วยหรือ Influencer agency ที่มีความเชี่ยวชาญ มาช่วยดูแลจัดการให้ทั้งแคมเปญ ตั้งแต่การวางแผนจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะสามารถช่วยควบคุมค่าใช้จ่ายให้เป็นไปตามที่กำหนด แต่เกิดผลลัพธ์มากที่สุด ตอบโจทย์จุดประสงค์และเป้าหมายที่ต้องการได้ อีกทั้งยังลดระยะเวลาการทำงาน ไม่ต้องเสียเวลาติดต่อ ดูแลจัดการ หรือแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างแคมเปญเอง และที่สำคัญที่สุดคือสามารถที่จะการันตีผลลัพธ์ได้ตั้งแต่ก่อนเริ่ม ทำให้มั่นใจได้ว่าจะได้แคมเปญ Influencer ที่มีคุณภาพคุ้มค่ากับเงินที่เสียไปแน่นอน
สนใจให้ Kollective เป็นผู้ช่วยทำการตลาดผ่านอินฟลูเอนเซอร์ ลงทะเบียนได้ที่นี่เลย เพื่อให้ทีมงานติดต่อกลับ หรือสอบถามโดยตรงได้ที่ 090-293-8951 (คุณกอล์ฟ ฝ่ายการตลาด)
Facebook: Kollective – Integrated Influencer Marketing Optimizer
Line: @kollective.th
Website: https://kollective.one
Email: contact@kollective.one