5 เครื่องมือ Digital Marketing ตัวช่วยเพิ่มยอดขายแบบก้าวกระโดด
ในยุคที่ทุกอย่างขับเคลื่อนด้วยโลกออนไลน์ คำว่า Digital Marketing จึงกลายมาเป็นคำคุ้นหูของใครหลาย ๆ คน
สำหรับ Digital Marketing หรือ ที่บางคนเรียกว่า Online marketing เป็นการทำการตลาดออนไลน์ ที่อาศัยเครือข่าย Internet ในการสื่อสารและส่งสาร ที่เป็นประโยชน์กับลูกค้า ยกตัวอย่างเช่น ข้อมูลการตลาดและการโฆษณาของแบรนด์ ผ่านสื่อออนไลน์หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต หรือ สมาร์ทโฟน
ในบทความนี้ Kollective จะพาไปวิเคราะห์ 5 เครื่องมือ Digital marketing ที่น่าสนใจในการทำการตลาดผ่านโลกออนไลน์ ที่จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการทำการตลาด ให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จัก และเพิ่มยอดขายอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
1. Search Engine Marketing (SEM)
SEM คือ การทำการตลาดออนไลน์ ที่ทำให้เว็บไซต์ของคุณแสดงในอันดับแรก ๆ บนหน้าการค้นหา เมื่อมีการค้นหา Keyword ที่กำหนดไว้ ซึ่งเครื่องมือค้นหาบนอินเทอร์เน็ตที่ใช้กันอยู่ทั่วไป คงหนีไม่พ้น Google ที่นับได้ว่าเป็น Search Engine อันดับต้น ๆ ของโลก
ในการทำการตลาดผ่าน Search engine นี้ สามารถแบ่งออกได้ 2 ประเภท คือ การซื้อโฆษณาในหน้าค้นหา และการปรับเว็บไซต์เพื่อให้ติดอันดับต้น ๆ ในการค้นหาอย่าง SEO
Google ads
Google ads คือการเสียเงินซื้อโฆษณาเพื่อให้เว็บไซต์ของคุณ แสดงในอันดับต้น ๆ บนหน้าผลลัพธ์ของการค้นหา เมื่อมีการค้นหา Keyword นั้น ๆ ซึ่งการที่โฆษณาจะแสดงในตำแหน่งใดนั้น จะถูกกำหนดด้วยการคะแนนการประมูล Keyword ที่แตกต่างกันไป ตามราคาที่แข่งขันกับคู่แข่งที่ใช้ Keyword เดียวกัน แต่นอกเหนือจากราคาประมูลก็ยังมีเรื่องของคุณภาพเว็บไซต์และโฆษณาที่เป็นตัวกำหนดอันดับในการแสดงผล โดยค่าใช้จ่ายที่เสียจะอยู่ในลักษณะของ Pay Per Click (PPC) ที่จะจ่ายให้กับ Search Engine เมื่อมีคนคลิกโฆษณาไปยังเว็บไซต์ของคุณ
Search Engine Optimization (SEO)
สำหรับวิธีที่ไม่ต้องเสียค่าโฆษณาให้กับระบบ คือ การทำ SEO หรือ Search Engine Optimization เป็นการปรับเปลี่ยนโครงสร้างเว็บไซต์ ให้ดีขึ้น และเป็นไปตามกฏของ Search Engine นั้น ๆ เพื่อให้เว็บไซต์แสดงในอันดับต้น ๆ ในหน้าการค้นหา แต่วิธีนี้ต้องอาศัยสกิลในการเขียนบทความและองค์ประกอบหลายอย่าง เช่น การเลือกใช้ Keyword ที่มีประสิทธิภาพ มาเขียนแทรกกระจายตามจุดต่าง ๆ บนบทความ เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม SEM กับ SEO นั้นไม่ได้แตกต่างกันแค่เรื่องเสียเงินกับไม่เสียเงินเท่านั้น แต่ยังต่างกันที่ระยะเวลาที่ใช้ในการขึ้นแสดงผลบนหน้าค้นหา โดย SEM จะใช้ระยะเวลาที่น้อยกว่าในการทำให้ลูกค้าเห็นเว็บไซต์ และสามารถมั่นใจได้ว่าเมื่อจ่ายเงินแล้ว เว็บไซต์ที่ทำการซื้อโฆษณาไว้ จะปรากฏให้กลุ่มเป้าหมายของเราเห็นแน่นอน ขณะที่ SEO ต้องใช้เทคนิคที่ค่อนข้างซับซ้อนกว่า และไม่อาจทำให้ลูกค้าเห็นในทันที แต่อาศัยระยะเวลาในการให้ Search engine ประมวลผลและตรวจสอบ
2. Social Media Marketing
อีกเครื่องมือหนึ่งในการทำ Digital Marketing ที่หลายธุรกิจไม่สามารถมองข้ามได้ คือ การทำการตลาดผ่านโซเชียลมีเดีย เพราะปัจจุบัน การใช้งาน Social Media กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของคนส่วนใหญ่ไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Instagram, Twitter หรือ LINE
เพราะเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้สะดวกและรวดเร็ว การเลือกใช้กลยุทธ์ที่เหมาะสมเพื่อให้สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายในแต่ละช่องทางจึงเป็นสิ่งจำเป็น ซึ่งแต่ละช่องทางก็จะมีรูปแบบของคอนเทนต์ที่แต่ต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นบทความ รูปภาพ หรือ วิดีโอ รวมไปถึงการเสียเงินซื้อโฆษณาในช่องทางนั้น ๆ เพื่อให้เข้าถึงลูกค้าได้ตรงตามกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น และเพื่อให้เกิดการบอกต่อในวงกว้างได้อย่างง่ายดาย
ตัวอย่างเช่น การทำโฆษณาบน Facebook ที่เราสามารถเลือกได้ว่าจะเข้าหากลุ่มเป้าหมายที่มีลักษณะ ความสนใจแบบไหน เพื่อที่โฆษณาจะแสดงต่อคนที่มีความสนใจในสินค้าและบริการของเราจริง ๆ โดยสามารถเลือกได้ตั้งแต่ข้อมูลประชากร อายุ เพศ ที่อยู่ ความสนใจ และพฤติกรรมของผู้ใช้แพลตฟอร์ม
นอกจากนั้นเราสามารถเลือกวัตถุประสงค์ของการสร้างโฆษณา เช่น สร้างการรับรู้ เพิ่มการมีส่วนร่วม หรือการเพิ่มจำนวนคนสั่งซื้อ โดยระบบจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพโฆษณาให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่มีแนวโน้มช่วยให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ให้ได้มากที่สุด และยังสามารถจำกัดการใช้งบประมาณให้อยู่ในจำนวนที่เราต้องการได้ รวมถึงตั้งระยะเวลาเริ่มต้นและจบโฆษณาได้อย่างเหมาะสม โดย Facebook จะทำการเปิดและปิดตัวโฆษณาให้อัตโนมัติตามที่เราตั้งค่าไว้
จะเห็นได้ว่า ข้อดีของการใช้การโฆษณาผ่าน Social Media Marketing ไม่เพียงแต่สามารถเพิ่มการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายจำนวนมากได้อย่างรวดเร็วเท่านั้น แต่ยังสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่เราต้องการได้ค่อนข้างแม่นยำและละเอียดกว่าอีกด้วย
3. Content Marketing
Content Marketing เป็นอีกเทคนิคหนึ่งด้านการตลาด ที่ใช้เนื้อหาหรือคอนเทนต์ มุ่งเน้นให้คุณค่าหรือความรู้แก่ลูกค้า ซึ่งคอนเทนต์ที่ดีจะต้องสื่อสารได้อย่างครบถ้วน สามารถเปลี่ยนสถานะจากผู้อ่านมาเป็นลูกค้าที่สนใจและตัดสินใจซื้อสินค้าในที่สุด ซึ่งการสร้างสรรค์คอนเทนต์สามารถทำได้หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการเขียนบทความ การใช้รูปภาพ การใช้วิดีโอ ไปจนถึงการแจกคอนเทนต์พิเศษในรูปแบบต่าง ๆ อย่าง E-book แลกกับการข้อมูลของลูกค้า (Lead generation)
หลักในการออกแบบคอนเทนต์ให้ดึงดูดลูกค้า มักจะอิงตาม Customer journey หรือ กระบวนการตัดสินใจของลูกค้าในการเลือกซื้อสินค้าและบริการ ซึ่งแบ่งได้เป็น 4 ขั้นตอนหลัก ดังนี้
- Awareness หรือ การสร้างการรับรู้ผ่านนำเสนอคอนเทนต์ที่เป็นประโยชน์ต่อกลุ่มเป้าหมาย เมื่อเขาต้องการคำตอบของเรื่องนั้น ๆ หรือคอนเทนต์ที่กลุ่มเป้าหมายสนใจ อย่างคอนเทนต์ตามกระแสก็ถือเป็นรูปแบบหนึ่งที่ช่วยสร้างการรับรู้ในวงกว้างอย่างรวดเร็ว
- Engagement หรือ การทำคอนเทนต์ที่ให้กลุ่มลูกค้าเป้าหมายมีปฏิสัมพันธ์ร่วมด้วย อาจจะเป็นคอนเทนต์ที่เน้นให้เกิดการแชร์และแสดงความคิดเห็น
- Consideration หรือ การเสริมความน่าเชื่อถือ ทำให้ลูกค้าสนใจในแบรนด์หรือสินค้า โดยคอนเทนต์ในส่วนนี้จะเป็นรูปแบบที่แสดงจุดเด่นของสินค้า
- Conversion หรือ การตัดสินใจซื้อ การสร้างคอนเทนต์ในส่วนนี้ มีจุดประสงค์เพื่อกระตุ้นให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อสินค้าหรือใช้บริการ
นอกจากนี้ Content marketing ยังสามารถนำมาใช้ได้กับทั้งช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ ยิ่งถ้าใช้ควบคู่กับการตลาดวิธีการอื่น ๆ เช่น Social media marketing หรือ Influencer marketing ก็จะได้ผลลัพธ์หรือยอดขายเพิ่มขึ้นอีกด้วย
4. Email Marketing
Email Marketing คือ การตลาดออนไลน์รูปแบบหนึ่งที่ใช้อีเมลในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย หลาย ๆ คนจะมองข้ามวิธีการนี้ ด้วยเหตุผลที่ว่าสมัยนี้ใครจะเปิดอ่านอีเมล แต่ในความเป็นจริงแล้ว อีเมลก็ยังคงเป็นช่องทางหลักที่เหล่าบรรดานักการตลาด รวมไปถึงกลุ่มคนทั่วไปนิยมใช้กันอยู่ โดยเฉพาะการติดต่อสื่อสารธุรกิจหรือการสื่อสารที่ต้องเป็นทางการ
เนื้อหาที่ใช้ในการทำ Email marketing ส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปแบบของการโปรโมทสินค้า การประชาสัมพันธ์ การมอบของสมมนาคุณหรือส่วนลดพิเศษให้กับลูกค้าเก่า หรือ โปรโมชันของสินค้าหรือบริการในช่วงเวลาต่าง ๆ ที่อยากจะนำเสนอให้กับลูกค้าเก่าหรือลูกค้าที่อาจจะเคยสนใจและให้ข้อมูลอีเมลไว้ นับว่าเป็นการกระตุ้นยอดขายและเพิ่มโอกาสการกลับมาซื้อซ้ำลูกค้าเก่าที่ค่อนข้างประสบความสำเร็จ
ข้อดีของช่องทางนี้ คือ ใช้ต้นทุนต่ำมาก เมื่อเทียบกับการทำการตลาดหรือการใช้โฆษณาประเภทอื่น ๆ และยังช่วยเพิ่มโอกาสในการขายได้ตรงตามกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น เพราะสามารถคัดแยกรายชื่อได้จากข้อมูลที่ลูกค้ากรอกมานั่นเอง ในปัจจุบันคุณสามารถประหยัดเวลาในการจัดการอีเมลได้ โดยใช้แพลตฟอร์มที่มีทั้งแบบฟรีและเสียเงิน ตัวอย่างเช่น Hubspot และ Mailchimp
5. Influencer Marketing
สำหรับเครื่องมือ Digital marketing ตัวสุดท้ายที่ Kollective อยากแนะนำ คือ Influencer Marketing ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นทางเลือกใหม่ของการทำการตลาดออนไลน์ ผ่านกลุ่มคนที่มีอิทธิพลทางความคิดในโลกออนไลน์ มาช่วยทำการตลาดผ่านการรีวิว หรือ การบอกเล่าประสบการณ์ในช่องทางโซเชียลมีเดียต่าง ๆ เพื่อเผยแพร่ข้อมูลของสินค้าและบริการออกไปในวงกว้าง
ซึ่งการใช้ Influencer หรือนักรีวิวสามารถช่วยตอบโจทย์การทำการตลาดออนไลน์ได้ค่อนข้างหลายหลาย ได้แก่
- ช่วยให้สินค้าหรือบริการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้มากขึ้นและเร็วขึ้น
- สร้างยอดขายให้กับแบรนด์ผ่านคอนเทนต์ที่จริงใจจาก Influencer หรือนักรีวิวที่ได้ทดลองใช้สินค้า ในรูปแบบข้อความ รูปภาพ หรือ วิดีโอรีวิวสินค้า
- สร้างความน่าเชื่อให้กับแบรนด์ผ่านกลยุทธ์การตลาดแบบปากต่อปาก (Word of Mouth)
สำหรับวิธีการใช้ Influencer Marketing ในระดับเบื้องต้นนั้น สามารถสรุปออกมาได้เป็น 4 ขั้นตอนสำคัญ คือ
- ตั้งวัตถุประสงค์ให้ชัดเจน เช่น ต้องการเพิ่มยอดขาย ต้องการเป็นที่รู้จักในวงกว้าง ต้องการให้สินค้าเป็นที่พูดถึง เพราะวัตถุประสงค์ที่แตกต่างจะส่งผลถึงการวางกลยุทธ์และเลือกอินฟลูเอนเซอร์ด้วย
- วางแผนในการทำการตลาด เพื่อเลือก Influencer ที่เหมาะสมกับสินค้าของแบรนด์หรือวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าคนที่เลือกมานั้น จะช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ของแบรนด์ให้ดูน่าไว้วางใจ และเลือกช่องทางโซเชียลมีเดียที่จะสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ตรงที่สุด
- ติดต่อประสานงานกับ Influencer เพื่อตกลงราคาและรูปแบบของคอนเทนท์ที่ต้องการ
- ติดตาม วิเคราะห์ และวัดผลการใช้ Influencer เพื่อให้รู้ว่าการทำการตลาดในครั้งนี้ มีประสิทธิภาพมากน้อยเพื่อใด ได้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่ากับการลงทุนหรือไม่ รวมไปถึงเพื่อให้ได้ข้อมูลในการปรับปรุงและแก้ไขเพื่อให้การตลาดในครั้งต่อไปดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม การทำการตลาดผ่านอินฟลูเอนเซอร์ ไม่ใช่เพียงแต่จะช่วยให้แบรนด์เป็นที่รู้จัก และมีความน่าเชื่อถือเพิ่มขึ้นเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ประหยัดงบการทำการตลาด แถมยังให้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่าอีกด้วย
ซึ่งหากใครสนใจที่ทำการตลาดผ่านอินฟลูเอนเซอร์ หรือ ต้องการปรึกษาการทำการตลาดด้วยวิธีนี้ก็สามารถติดต่อ Kollective ได้เลย ทีมงาน Kollective ยินดีให้คำแนะนำ
เป็นยังไงกันบ้างกับ 5 เครื่องมือในการทำ Digital marketing ที่จะช่วยให้ธุรกิจของคุณมียอดขายพุ่งขึ้นกว่าเดิม ซึ่งแต่ละวิธีก็จะมีความเหมาะสมแตกต่างกันไปตามวัตถุประสงค์ งบประมาณและกลุ่มเป้าหมาย แต่ท้ายที่สุดแล้ว เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในการทำการตลาด แบรนด์ควรจะเลือกใช้เครื่องมือที่หลากหลายมาผสมผสานกัน เพื่อรักษากลุ่มลูกค้าเดิมไว้และเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่
Kollective รับรองได้ว่าเครื่องมือการตลาดเหล่านี้ช่วยให้ธุรกิจของคุณมียอดขายตามเป้าแน่นอน
- บทความเกี่ยวกับเครื่องมือการตลาดเพิ่มเติม
- รวม 10 เครื่องมือการตลาดสำคัญที่จะช่วยให้การวัดผล Influencer marketing เป็นเรื่องง่าย
- แจกวาร์ป 7 แพลตฟอร์มการตลาด! ที่ทำให้ Influencer Marketing เป็นเรื่องง่าย
หรือสอบถามโดยตรงได้ที่ 090-293-8951 (คุณกอล์ฟ ฝ่ายการตลาด)
Facebook: Kollective – Integrated Influencer Marketing Optimizer
Line: @kollective.th
Website: https://kollective.one
Email:contact@kollective.one