สายการศึกษาต้องฟัง ! ประสบการณ์ทำการตลาด ฉบับคุ้มค่า สร้าง ROI กว่า 200% ในงบหลักหมื่น จาก Be-Engineer
ในยุคที่การทำ Influencer marketing มีการแข่งขันที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ จนหลายแบรนด์เริ่มตั้งคำถามแล้วว่าจะทำต้องยังไงให้เวิร์ก ยิ่งถ้าไม่ใช่ธุรกิจสายอาหาร สายความงาม จะจ้างอินฟลูเอนเซอร์มารีวิวก็ดูจะไม่คุ้ม วันนี้ Kollective เลยอยากเล่าให้ฟังถึงกรณีศึกษาดี ๆ จาก Be-engineer สถาบันกวดวิชาเกี่ยวกับวิศวกรรมอันดับต้น ๆ ของไทย ที่เริ่มต้นทำ Influencer marketing เพราะแค่อยากทดลอง แต่กลับได้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่า เพิ่มยอดขายได้จริง
Be-engineer คืออะไร?
Be-engineer คือสถาบันกวดวิชาเกี่ยวกับวิศวกรรมอันดับต้น ๆ ที่มีชื่อเสียงในแวดวงนักศึกษามหาวิทยาลัยต่าง ๆ ที่สร้างคอร์สเรียนคุณภาพออกมาตอบโจทย์น้อง ๆ นักศึกษา ปี 1-3 โดยเฉพาะ อย่างตัวคอร์สที่ให้ทาง Kollective ทำการตลาดให้ก็จะเป็นคอร์สปรับพื้นฐานสำหรับน้อง ๆ ที่เพิ่งสอบติดมหาวิทยาลัย เน้นทบทวนเนื้อหาและปูพื้นฐานก่อนเข้าไปเรียนจริง
ต้องทำคอร์สออนไลน์ 100% เพราะสถานการณ์โควิด
ทาง Be-engineer เองก็ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด จากปกติที่เป็นการสอนแบบออฟไลน์ On-site จับกลุ่มมาเรียนกันที่สถาบัน หรือเป็นแบบวิดีโอ On demand ที่มานั่งเรียนส่วนตัวกับคอมพิวเตอร์ที่สถาบัน พอมีโควิดช่วงแรกก็ต้องลดจำนวนนักเรียนที่เข้ามาในสถาบัน ลิมิตว่าต้องนั่งเรียนกันไม่กี่คนเท่านั้น แน่นอนว่าพอรับนักเรียนได้น้อยลง รายได้ก็น้อยลงเช่นกัน แต่โชคดีว่าทาง Be-engineer เองก็ได้ทำคอร์สออนไลน์บนเว็บไซต์บ้าง พอเจอสถานการณ์นี้เลยกลายเป็นโอกาสให้ขึ้นมาอยู่บนออนไลน์แบบ 100%
เช่นเดียวกับกลยุทธ์การตลาดที่ใช้ จากเดิมที่ทำ Facebook, Instagram, Youtube บ้างแต่ไม่ได้โปรโมทจริงจัง เพราะเน้นการเข้าไปเป็นสปอนเซอร์กับกิจกรรมมหาวิทยาลัยเป็นหลัก ก็ต้องหันมาหาวิธีการใหม่ ๆ
แค่อยากลองทำ Influencer marketing ดูเฉย ๆ
จุดเริ่มต้นจริง ๆ ที่ทำให้ใช้บริการ Kollective คืออยากรู้ว่า Influencer marketing เนี่ย มันสามารถเข้ามาช่วยเราในการโปรโมทได้ไหม เพราะก็เห็นเพจอื่นทำกันเยอะ ๆ หลายที่ก็เป็นพวกคอร์สออนไลน์เหมือนกัน อย่างพวกคอร์สเขียนโปรแกรม หรือพวกคอร์สพัฒนาตนเองของคนที่เริ่มทำงานแล้ว
เริ่มแรกก็กังวลนะ ว่าจะคุ้มไหม แต่ก็ลองดู เพราะก็อยากรู้ว่า Process เป็นยังไง มีการทำงานยังไงบ้าง แล้วกับธุรกิจตัวเองจะเวิร์กไหม ไม่ได้คาดหวังเยอะขนาดนั้น เรียกว่ามาด้วยความอยากรู้ อยากลองมากกว่า แต่ผลลัพธ์ก็ออกมาค่อนข้างน่าประทับใจเลย
วางกลยุทธ์อย่างเป็นระบบและใช้ Digital Ads เข้ามาเสริม
สำหรับแคมเปญของ Be-engineer นั้น เกิดจากการสร้างแคมเปญร่วมกันจากทั้งฝั่งแบรนด์ และ Kollective ที่ไม่ได้มองว่า Influencer marketing เป็นเพียงแค่การถ่ายรูปคู่สินค้าแล้วจบ แต่มองในมุมของ User journey ที่เกิดจากการเปลี่ยนคนที่ไม่เคยรู้จัก เป็นกลุ่มคนที่ยอมซื้อสินค้า และมองว่าคุณค่าของการใช้เพจมากกว่าการได้คอนเทนต์ที่มีคุณภาพ คือการได้สิทธิ์ในการยิงโฆษณาเพื่อบูสต์โพสต์ไปยังกลุ่มเป้าหมายใหม่ ๆ ผ่านผู้ติดตามของเพจด้วย
รวมถึงได้นำ Digital Ads อย่าง Facebook ads เข้ามาใช้อย่างเป็นระบบในการทำ Retargeting เข้าหากลุ่มคนที่มี Interaction กับเพจหรืออินฟลูเอนเซอร์ ทำให้สามารถกระตุ้นให้เกิดยอดซื้อคอร์สเรียนได้จริง โดยไม่จำเป็นต้องใช้งบจำนวนมาก
ใช้ข้อมูลในการเลือก Influencer ผ่านแพลตฟอร์มจาก Kollective
ในการเลือกอินฟลูเอนเซอร์ทาง Kollective คัดเลือกมาให้แล้วรอบหนึ่งเพื่อให้มั่นใจว่าตรงกับกลุ่มเป้าหมายของแบรนด์มากที่สุด อย่างพวกชั้นปี คณะ มหาวิทยาลัย แล้วก็เป็นเชิงการศึกษาหน่อย ส่วนช่องทางที่เลือกใช้ก็มีทั้ง Instagram และ Facebook
อย่างช่องทาง Instagram ปกติจะเลือกจากจำนวนผู้ติดตามและราคา ทาง Kollective ก็แนะนำให้ดู ROI แล้วก็ตัว Kolify score* ด้วยว่าควรจะมีคะแนนอยู่ที่กี่เปอร์เซน ส่วน Facebook ก็เลือกใช้แค่ 2 เพจ ด้วยราคาที่ไม่สูงเกินไป แล้วก็มีกลุ่มผู้ติดตามที่น่าจะตรงด้วย ซึ่งสุดท้ายผลลัพธ์ของเพจที่เลือกมาก็ Effective ดีมาก กลุ่มคนที่เข้ามาสนใจก็หลากหลาย ตรงกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการเลย
*Kolify score คือค่าคะแนนพิเศษของ Kollecitve เพื่อใช้ในการคัดเลือกอินฟลูเอนเซอร์ที่มีประสิทธิภาพและเหมาะสมกับแบรนด์ที่สุด โดยวิเคราะห์มาจาก Performance Score, Account Score และ Relevance Score ศึกษาเพิ่มเติม https://backupkollective.getzaviago.com/matching-tools/
นำคอนเทนต์จากอินฟลูเอนเซอร์ไปใช้ต่ออย่างคุ้มค่า
สร้างความรู้สึกแปลกใหม่ให้กลุ่มผู้ติดตามเดิมของแบรนด์ด้วยคอนเทนต์จากอินฟลูเอนเซอร์ จากเดิมเพจของทาง Be-engineer จะมีแต่คอนเทนต์เกี่ยวกับโจทย์ฟิสิกส์ เคมีต่าง ๆ มีแต่ตัวเลขและข้อมูลเยอะแยะไปหมด พอมีคอนเทนต์ของอินฟลูเอนเซอร์เข้ามาก็ทำให้เข้าถึงไดง่ายขึ้น
คอนเทนต์ของอินฟลูเอนเซอร์ใน Instagram ก็สามารถเอามาต่อยอดได้ อย่างเอามาลงในแอคเคาท์ของ Be-engineer เอง เอามาทำ IG Story เอามาใช้ยิงโฆษณาได้ เพราะว่ามีการทำสัญญา ทำข้อตกลงเรื่องการนำรูปมาใช้ต่อเรียบร้อยแล้ว
ผลลัพธ์ที่พึงพอใจเกินคาดหวัง
ก่อนหน้านี้ก็มีทำคอร์สนี้เล่น ๆ ลองโปรโมทนิดหน่อย ไม่ได้จริงจังมาก แต่พอเจอโควิดแล้วก็มาเจอกับ Kollective ก็เริ่มเห็นว่าอินฟลูเอนเซอร์สามารถช่วยทำการตลาดได้จริง ๆ ก็เลยจริงจังขึ้น เริ่มทำคอนเทนต์มากขึ้น มีคอนเทนต์เกือบทุกวัน ทั้งจากอินฟลูเอนเซอร์ เพจที่จ้าง และจากเพจของ Be-engineer ซึ่งพอมันมีการวางแผนคอนเทนต์ วางแผนการ Retargeting เลยทำให้ยอดขายขึ้น มีคนซื้อคอร์สเพิ่มขึ้นจริงแบบเท่าตัวเลย
มุมมองที่เปลี่ยนไปต่อการทำการตลาดผ่านอินฟลูเอนเซอร์
ตอนแรกมองว่าทำการตลาดบน Instagram ไม่น่าจะเข้าถึงคนได้มาก แล้วคนที่เข้ามาก็ดูไม่จริงจังเท่า Facebook แต่พอลองทำจริง กลับกลายเป็นว่าช่องทางนี้ เป็นช่องทางที่มีประสิทธิภาพกับกลุ่มเป้าหมายเรา แถมรูปภาพคอนเทนต์ก็สามารถเอามาใช้ต่อได้
ส่วน Facebook ก็เหมือนกัน จากเดิมเรามองว่า Influencer คือเขาคิดคอนเทนต์และโพสต์ขายให้เราเท่านั้น แต่สิ่งที่ได้เพิ่มมาก็คือเอามายิงโฆษณาต่อได้ ตัว Audience ที่ใช้ยิงโฆษณาก็เป็นคนที่ติดตามเพจของเขาอยู่แล้ว มีความสนใจตรงกับกลุ่มเป้าหมายเรา ก็เหมือนได้ขยายฐานลูกค้าของเราไปในตัว
ฝากถึงธุรกิจที่สนใจทำการตลาดผ่าน Influencer
เริ่มแรกลงงบประมาณไปเกือบ 4 หมื่นซึ่งก็ถือว่าเยอะอยู่สำหรับช่วงเศรษฐกิจแบบนี้ แล้วตอนนั้นเราก็ไม่เห็นภาพด้วยว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นยังไง สำหรับคนที่ไม่เคยทำการตลาดแบบนี้ งบนี้ก็อาจจะถือว่าเป็นการทดลองก็ได้ ลองใช้ดู ลองทำงานด้วยกันดู ถ้าผลลัพธ์มันดีก็ค่อยเพิ่มงบขึ้นก็ได้ อย่างน้อยมันก็เปิดโลกเราในระดับหนึ่ง ทำให้เรารู้แนวทางการตลาดอีกรูปแบบหนึ่งที่ก็คุ้มค่าอยู่ในระดับหนึ่งเลย
ขอบคุณข้อมูลและบทสัมภาษณ์จาก Be-engineer
- บทความแนะนำที่เกี่ยวข้อง
- ถอดสูตรสำเร็จ ทำไมกระเป๋าแบรนด์ Carlyn ถึงฮิตขนาดนี้?
- ใช้ Social media ยังไงให้คุ้ม เผยเคล็ดลับทำ Influencer marketing กับ True Coffee
- ถอดบทเรียนจาก MonkeyEveryday ! ทำการตลาดยังไง ในยุคที่ไม่สามารถเข้าถึงเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีได้
หรือสอบถามโดยตรงได้ที่ 090-293-8951 (คุณกอล์ฟ ฝ่ายการตลาด)
Facebook: Kollective – Integrated Influencer Marketing Optimizer
Line: @kollective.th
Website: https://kollective.one
Email:contact@kollective.one